เมนู Toggle

POPULAR

อยู่บ้านอย่างไร ให้ประหยัดไฟ แม้ต้อง Work From Home

อยู่บ้านอย่างไร ให้ประหยัดไฟ แม้ต้อง Work From Home

อยู่บ้านอย่างไร ให้ประหยัดไฟ แม้ต้อง Work From Home

          หน้าร้อนใกล้เข้ามาแล้วจะมีอะไรดีไปกว่าการอยู่ในห้องแล้วเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ยิ่งในช่วงนี้คนส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่บ้าน (Work From Home) เพื่อช่วยกันหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของ COVID-19 แน่นอนว่าเมื่ออยู่ที่บ้านทั้งวันทั้งคืน ทำให้มียอดใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากอุปกรณ์ทำงานอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์  รวมไปถึงการใช้เครื่องทำความเย็นทั้งแอร์และพัดลม ทำให้หลายบ้านถึงกับสะดุ้งเมื่อเจอบิลค่าไฟ JARTON จึงขอแนะนำ 6 วิธีประหยัดไฟบ้าน เมื่อต้อง Work From Home มาฝากกัน

1. เลือกมุมทำงานให้มีแสงสว่างอย่างเพียงพอ

โดยที่ไม่ต้องเปิดไฟให้สิ้นเปลือง เช่น ตั้งโต๊ะทำงานข้างหน้าต่างให้มีแสงธรรมชาติส่องเข้ามา หรืออาจหามุมนอกบ้านใต้ชายคาเพื่อรับแสงสว่างอย่างเพียงพอ ถ้าหากอยู่คอนโดหรือบ้านที่ไม่สามารถใช้แสงจากธรรมชาติได้ อาจใช้โคมไฟหลอด LED แทนการเปิดไฟเพดาน และตั้งเวลาใช้ไฟให้เหมือนที่ทำงาน   เช่น เปิดเวลา 9.00 12.00 น. ปิดไฟตอนพักกลางวัน และเปิดใช้ไฟอีกครั้งเวลา 13.00 - 17.00 น.   

2. เปิดหน้าต่างรับลม - แสงธรรมชาติ

แทนที่จะเปิดแอร์ตลอดทั้งวันทั้งคืน ลองเปิดหน้าต่างห้องทำงานเพื่อรับลมและแสงจากธรรมชาติแทนการเปิดแอร์และไฟฟ้า โดยวิธีทำให้ลมเข้ามาในห้องคือ เปิดหน้าต่างอย่างน้อย 2 ด้านให้มีทางเข้าและทางออกของลม และไม่ควรนำเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของไปบังช่องหน้าต่างหรือทิศทางเข้าออกของลม ก็จะทำให้ห้องมีลมเข้ามาช่วยลดความร้อนโดยไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ ในกรณีที่ต้องเปิดแอร์ลองปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นกว่าเดิมเช่น 26 องศาเวลเซียส แล้วเปิดพัดลมช่วยก็จะประหยัดไฟได้เช่นกัน 

3. ปิด Gadget ไร้สาย เมื่อไม่มีการเชื่อมต่อ

บางคนใช้ iPad ทำงานสลับกับ Notebook หรือใช้หูฟังไร้สายเวลาประชุมออนไลน์ เมื่อเลิกใช้งานแล้วให้ปิดทันที เพราะอุปกรณ์ไร้สายที่ไม่มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์จะยังคงทำงานอยู่และใช้กระแสไฟฟ้าในการหล่อเลี้ยงระบบ รวมถึงไม่เสียบปลั๊ก Notebook ทิ้งไว้ในกรณีที่แบตเตอรีเต็มแล้ว เพื่อลดการใช้กระแสไฟฟ้าได้อีกทางหนึ่ง

4. เปลี่ยนปลั๊กไฟธรรมดา มาเป็น “สมาร์ทปลั๊ก JARTON

            อุปกรณ์เชื่อมต่อที่สามารถเสียบแล้วใช้ได้เลย โดยไม่ต้องดัดแปลงหรือแก้ไขระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เพียงแค่ติดตั้ง และโหลดแอพพลิเคชัน เพื่อควบคุมการทำงานอุปกรณ์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะอยู่สถานที่ใด ก็สามารถส่งคำสั่งผ่านสัญญาณ WI-FI เปิด - ปิดได้ ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น แถมประหยัดไฟง่ายๆ เมื่อไม่ใช้งานก็สั่งตัดกระแสไฟปิดระบบอุปกรณ์ไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชัน หมดปัญหาลืมเปิด - ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปได้เลย

คุณสมบัติ “สมาร์ทปลั๊ก JARTON

  • ระบบการใช้งาน : Wi-Fi / โทรศัพท์มือถือ
  • เชื่อมต่อไร้สาย : รองรับ Wi-Fi คลื่น 2.4GHz
  • การควบคุม : ควบคุมได้จากโทรศัพท์มือถือ
  • รองรับการจัดการ : แอปพลิเคชัน JARTON Home / รองรับช่องเสียบ USB 2 ช่อง / ตั้งเวลาเปิด - ปิด อัตโนมัติ / วัดค่าพลังงานที่ใช้ไป
  • สามารถทำงานร่วมกับ Amazon Alexa และ Google Assistant

5. โน้ตบุ๊กตั้งเป็น Sleep Mode เมื่อไม่ได้ใช้งาน

    รวมทั้งปรับแสงจอไม่ให้สว่างจนเกินไป รวมทั้งควรตั้งค่าประหยัดพลังงานเพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรีในกรณีที่มีการเปิด Notebook ทิ้งไว้

    6. เลือกใช้หลอด LED แทนหลอดไฟธรรมดา

    ในกรณีที่ต้องเปิดไฟเพดานควรเลือกใช้หลอด LED เพราะประหยัดไฟกว่าหลอดธรรมดาทั่วไป   แม้ว่าหลอด LED จะมีราคาแพงกว่าหลอดไฟธรรมดาแต่ในระยะยาวเรื่องการประหยัดไฟถือว่าคุ้มกว่ามาก  ที่สำคัญหากเปลี่ยนมาใช้หลอด LED จะสามารถให้ความสว่างได้มากกว่าหลอดไฟธรรมดา และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

    7. ใช้หูฟังแบบมีสายประหยัดไฟกว่า

    การใช้หูฟังเวลาประชุมออนไลน์ ควรเลือกใช้หูฟังแบบมีสายเพราะใช้กระแสไฟฟ้าในการทำงานน้อยกว่าหูฟังแบบไร้สาย ที่สำคัญราคาหูฟังแบบมีสายจะถูกกว่าแบบไร้สายด้วย

                เคล็ดลับดีๆ แบบนี้ ทำตามได้ไม่ยากเลย! แล้วคุณจะประหยัดไฟได้อย่างแน่นอน


    #JARTON #SmartPlug #สมาร์ทปลั๊ก #วิธีประหยัดไฟ #WorkFromHome

    ก่อน ทริกติดแอร์ยังไงให้เย็นฉ่ำ ประหยัดไฟไม่หวั่นอากาศร้อน
    ต่อไป เทคโนโลยี IoT ที่เหมาะกับการปรับใช้ในไทย