เราใช้คุกกี้เพื่อทำให้ประสบการณ์ของคุณดีขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งใหม่ของ e-Privacy เราจำเป็นต้องขอความยินยอมจากคุณในการตั้งค่าคุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติม
รู้ไหมว่าการเผลอเปิดประตูทิ้งไว้โดยไม่ตั้งใจ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุแก่ผู้อยู่อาศัย หรือปัญหาที่เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด แต่ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะเราจะมาแนะนำให้รู้จักกับโช๊คประตู ตัวช่วยแก้ปัญหาลืมปิดประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมาแบ่งเคล็ดลับว่าควรเลือกโช๊คประตู หรือโช๊คประตูบานสวิง รวมถึงบานเลื่อน ยี่ห้อไหนดี เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด
การเผลอไผลเปิดประตูทิ้งไว้ อาจฟังเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่นำมาซึ่งความเสียหายร้ายแรงไม่น้อย เช่น
การเปิดประตูทิ้งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงจากการบุกรุกของผู้ไม่หวังดี หรือเป็นช่องทางให้สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์มีพิษเข้าสู่ตัวอาคาร
เด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงอาจออกไปจากอาคารจนได้รับอุบัติเหตุ หรืออาจบาดเจ็บจากประตูที่ปิดกระแทกใส่จากแรงลมหรือแรงสั่นสะเทือน และอาจส่งผลให้มีวัตถุอื่นตกลงมาเสียหาย หรือถูกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้
หากเปิดประตูทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้ประตูได้รับแรงกระแทกจากลมบ่อยครั้ง เสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่บานประตูและวงกบ จนชำรุดง่าย อายุการใช้งานสั้นกว่าที่ควร
ถึงแม้ว่าวิธีที่จะช่วยให้ไม่ลืมปิดประตูมีอยู่หลากหลาย แต่หนึ่งในทางเลือกที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน คือการติดโช๊คอัพประตู เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยควบคุมการเปิด-ปิดประตูได้อย่างนุ่มนวล ป้องกันการกระแทก ลดเสียงรบกวน และเพิ่มความปลอดภัย
โช๊คประตู คือ อุปกรณ์ที่ช่วยควบคุมการปิดประตูให้นุ่มนวล ป้องกันการปิดกระแทก ลดเสียงดัง และเพิ่มความปลอดภัย
1. โช๊คประตูแบบมาตรฐาน (Overhead Door Closer) ใช้สำหรับการติดตั้งด้านบนของประตูและวงกบ มีแขนโยงที่ช่วยควบคุมการเปิด-ปิด เหมาะกับประตูทั่วไป เช่น ประตูไม้ ประตูโลหะ หรือประตูบานพับ ซึ่งนิยมใช้ในสำนักงาน อาคารพาณิชย์ หรือบ้านพักอาศัย มีจุดเด่นคือควบคุมแรงได้หลายระดับและมีความทนทานสูง
2. โช๊คประตูแบบซ่อนในวงกบ (Concealed Door Closer) ใช้ติดตั้งภายในวงกบหรือกรอบประตู ทำให้มองไม่เห็นตัวโช๊ค เหมาะสำหรับประตูที่ต้องการความสวยงามและไม่มีอุปกรณ์ยื่นออกมา เพื่อไม่ให้รบกวนสายตาคนด้านนอก เช่น ประตูในห้องพักโรงแรม อาคารหรู หรือพื้นที่ที่ต้องการดีไซน์เรียบหรู
3. โช๊คประตูแบบติดพื้น (Floor Spring) ใช้ติดตั้งไว้ใต้พื้นบริเวณฐานของประตู พร้อมมีแกนหมุนควบคุม มีจุดเด่นคือรองรับน้ำหนักมากและมีความแข็งแรงสูง จึงเหมาะสำหรับประตูกระจกบานเปลือย หรือประตูที่มีน้ำหนักมาก เช่น ประตูร้านค้า ประตูหมุน (Pivot Door)
4. โช๊คประตูแบบติดตั้งด้านข้าง (Side Arm Door Closer) ใช้ติดตั้งบริเวณด้านข้างของบานประตู แทนที่จะติดด้านบน จึงเหมาะสำหรับประตูที่มีพื้นที่วงกบจำกัด เพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกไปใช้งาน
5. โช๊คประตูแบบแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Door Closer) ใช้ระบบแม่เหล็กไฟฟ้าควบคุมการเปิด-ปิด อาจเชื่อมต่อกับระบบควบคุมการเข้า-ออก (Access Control) โดดเด่นด้วยการทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติ และสามารถหยุดการทำงานเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน เหมาะสำหรับในอาคารที่ต้องการควบคุมการเข้า-ออก เช่น โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรืออาคารสำนักงาน
6. โช๊คประตูแบบแรงเสริมพิเศษ (Heavy Duty Door Closer) ออกแบบมาให้รองรับการใช้งานหนักและต่อเนื่อง จึงมีความแข็งแรงทนทานไม่เสียหายง่าย เหมาะสำหรับประตูที่ใช้งานบ่อยมาก เช่น โรงเรียน โรงงาน หรืออาคารที่มีคนสัญจรจำนวนมาก
โช๊คประตู (Door Closer) กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมติดตั้งมากขึ้นในบ้านพักอาศัย ออฟฟิศ และสถานที่สาธารณะ ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย โดยประโยชน์และความคุ้มค่าของการติดตั้งโช๊คอัพประตู มีดังต่อไปนี้
ช่วยลดการกระแทกของประตูขณะปิด จึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น ประตูหนีบมือ หรือกระแทกผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
อีกทั้งยังลดการกระแทกเสียงดัง ช่วยให้สภาพแวดล้อมเงียบสงบ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ต้องการความสงบ เช่น โรงพยาบาล หรือห้องสมุด
ลดแรงกระแทกที่เกิดจากการปิดประตูด้วยมือแรงเกินไป ช่วยป้องกันความเสียหายของบานประตูและวงกบ ทั้งยังช่วยรักษาคุณภาพของประตูและอุปกรณ์ล็อก เช่น บานพับและลูกบิด ทำให้ประตูใช้งานได้นานขึ้น
ช่วยให้ประตูปิดเองโดยอัตโนมัติ ลดภาระของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในสถานที่ที่ต้องเปิด-ปิดประตูบ่อย ๆ เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิ เช่น ห้องแอร์หรือห้องเก็บของ ช่วยลดการรั่วไหลของความเย็นหรือความร้อน
เมื่อไม่ต้องเปิดประตูค้างไว้ ก็จะรักษาอุณหภูมิภายในห้อง ลดการทำงานหนักของเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อน จึงเป็นการลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าของการใช้งาน
ในพื้นที่สาธารณะ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร หรือโรงพยาบาล การติดโช๊คอัพประตูช่วยควบคุมการปิดประตูได้อย่างเหมาะสม ลดโอกาสการปนเปื้อนของฝุ่นหรือเชื้อโรคจากการที่ประตูเปิดค้าง
• ตรวจสอบน้ำหนักและขนาดของประตูก่อนการติดตั้ง เพื่อเลือกโช๊คที่รองรับน้ำหนักได้เหมาะสม เพื่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
• วัสดุประตู ไม่ว่าจะเป็นประตูกระจก ประตูไม้ หรือประตูโลหะ ควรเลือกโช๊คที่ได้รับการออกแบบเฉพาะ เพื่อความแข็งแรงทนทาน
• ลักษณะการใช้งาน หากเปิด-ปิดบ่อย ควรเลือกโช๊คที่ทนทานและเหมาะกับการใช้งานหนัก
• พื้นที่ติดตั้ง ควรตรวจสอบอย่างละเอียด ทั้งด้านบน ด้านข้าง และด้านล่าง ว่ามีความกว้างเหมาะสำหรับการติดตั้งโช๊ค
• ตอบโจทย์ด้านดีไซน์ หากเน้นความสวยงาม ควรเลือกแบบซ่อนหรือแม่เหล็กไฟฟ้า
ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ ไม่ควรเลือกจากราคาถูกเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาคุณภาพและการรับประกันด้วย
• ติดตั้งง่าย ควรเลือกโช๊คอัพที่ติดตั้งง่าย และมีบริการติดตั้งฟรี
สำหรับคนที่กำลังลังเลว่าจะเลือกโช๊คประตูและโช๊คบานสวิง ยี่ห้อไหนดี เราขอแนะนำโช๊คประตูคุณภาพจาก JARTON ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรุ่น ทั้งแบบตั้งค้างและไม่ตั้งค้าง ช่วยเพิ่มความนุ่มนวลในการเปิด-ปิดประตูมั่นใจเรื่องอายุการใช้งาน เพราะซีลยางเป็นยางเทอร์โบบวก จากประเทศสวีเดน ซึ่งดีกว่ายางทั่วไป 20 เท่า จึงใช้งานได้นาน 3-4 ปี
นอกจากนี้ น้ำมันโช๊คอัพ ยังนำเข้าจากประเทศอเมริกา จึงมีความหนืดและเหนียวดี ส่งผลไม่ให้รั่ว ใช้งานได้ยาวนานถึง 10 ปี
นี่คงจะช่วยให้การเลือกโช๊คประตู โช๊คประตูบานสวิง บานเลื่อน และประตูประเภทอื่น ๆ เป็นเรื่องง่ายและมั่นใจได้มากขึ้น สำหรับผู้ที่กำลังมองหาโช๊คประตูคุณภาพ ที่ JARTON เราเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโช๊คประตู และโช๊คประตูบานสวิงคุณภาพสูง ด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปี ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต และเลือกใช้วัสดุคุณภาพ พร้อมกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้คุณมั่นใจว่าจะได้โช๊คประตูที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง
อีกทั้ง JARTON ยังพัฒนาแอปพลิเคชัน JARTON home เพื่อรองรับการสั่งการทางไกล มาพร้อมบริการติดตั้งฟรีทั่วประเทศ และงานซ่อมบำรุง รวมถึงสามารถติดต่อ Call Center ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน
หากสนใจสามารถเลือกชมโช๊คประตูได้ทางเว็บไซต์ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ LINE @jartongroup หรือโทร 09-3030-5000
Login and Registration Form