เมนู Toggle

POPULAR

เทคโนโลยี IoT ที่เหมาะกับการปรับใช้ในไทย

เทคโนโลยี IoT ที่เหมาะกับการปรับใช้ในไทย

เทคโนโลยี IoT ที่เหมาะกับการปรับใช้ในไทย

     IoT หรือ Internet of Things เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการนำระบบทางกลหรือระบบทางไฟฟ้าต่างๆ ในชีวิตประจำวันมาพัฒนาให้สะดวกขึ้นด้วยการควบคุมผ่านอินเตอร์เน็ต เนื่องจากในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆมาอย่างต่อเนื่อง บางเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะกับสภาพการณ์ต่างๆที่แตกต่างกันไป เช่น สภาพภูมิอากาศ สภาพภูมิประเทศและวิถีชีวิตประจำวันของประชากรในประเทศนั้นๆ

     ดังนั้น JARTON จึงขอนำเสนอ 7 เทคโนโลยีที่เหมาะจะนำมาปรับใช้ในประเทศไทย เพื่อที่จะพัฒนาคุณภาพทางด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม รวมถึงคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ

  1. Smart Home

            เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางเมื่อพูดถึง IoT ซึ่ง Smart Home ก็คือ เทคโนโลยีที่นำการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตมาใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้น เช่น

- หลอดไฟที่สามารถเปิด-ปิด, ปรับความสว่างได้โดยสั่งการผ่านโทรศัพท์

- สั่งการเปิด-ปิด เครื่องฟอกอากาศ ผ่านแอปพลิเคชัน

- ระบบรักษาความปลอดภัยที่สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา

- ที่ชาร์จเเบตโทรศัพท์ที่เพียงเดินเข้าห้องมาก็ชาร์จอัตโนมัติทันที ไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊กอีกต่อไป

ข้อดีของ Smart home คือการปรับแต่งบ้านให้สะดวกสบายและทันสมัยมากขึ้น ลดรายจ่ายต่างๆที่ไม่จำเป็นและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ตัวบ้าน

  1. Smart Grid

            Smart Grids เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมากที่สุด โดยหลักการของ Smart Grid คือการส่งไฟฟ้าอัจฉริยะแบบครบวงจร ระบบนี้จะพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าในปัจจุบัน ทั้งในด้านการส่ง การรับ และการตรวจสอบซ่อมแซมเมื่อสายไฟผิดปกติอีกด้วย ในหลายๆ ประเทศมีการพัฒนาระบบนี้ไปแล้ว และในประเทศไทยก็เริ่มศึกษาระบบนี้อย่างจริงจัง

ในระบบเก่า การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้านั้นประกอบด้วย ระบบผลิต (Generation),ระบบส่ง (Transmission), ระบบจำหน่าย (Distribution) และ ผู้ใช้ไฟฟ้า (Utilization)

การนำเทคโนโลยี Smart grids มาใช้นั้นจะเป็นการเพิ่มส่วนของกระบวนการจัดการ (Operation), ตลาดซื้อขายไฟฟ้า (Market) และการบริการ (Service) เข้าไปด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบส่งไฟฟ้า

ข้อดีของระบบ Smart Grid คือการทำให้การซื้อขายไฟฟ้าเป็นไปอย่างเสรี ลดการผูกขาด ซึ่งจะส่งผลให้ไฟฟ้ามีราคาถูกลง ทั้งยังสะดวกและตรวจสอบจุดที่ระบบมีปัญหาได้ง่าย

  1. Smart Wearable

            นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่ทุกๆ คนสามารถมีได้ นอกจากเป็นเครื่องประดับแล้วยังเป็นเครื่องมือทางการแพทย์อีกด้วย

ในอดีตนั้น Smart Watch จะมีฟังก์ชันมากกว่านาฬิกาทั่วไปเล็กน้อย เช่น สามารถช่วยนับระยะทางที่เดินในแต่ละวัน สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ แต่ในปัจจุบัน Smart Watch เริ่มมีบทบาทและมีฟังก์ชันใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น สามารถบันทึกข้อมูลสุขภาพ ใช้โทร.ได้ หรือบางรุ่นมี GPS ในตัว

จะเห็นว่าเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีผลต่อชีวิตประจำวันมากเรื่อยๆ ทั้งยังทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ข้อดีของ Smart Wearable ก็คือการที่สามารถรวมแอปพลิเคชันต่างๆ มาไว้ในนาฬิกาได้ ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่ที่น้อยแต่ได้ประโยชน์สูง

  1. Otoscope

คืออุปกรณ์การแพทย์แบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อความสะดวกและประหยัดมากขึ้น เนื่องจากบางครั้ง อาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ อาจจะไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ ทั้งยังสามารถประหยัดเวลาได้ด้วย

อุปกรณ์ที่กำลังพัฒนาในขณะนี้ เช่น อุปกรณ์ตรวจหู (Otoscope) ของบริษัท Cellscope ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถนำไปติดกับกล้องโทรศัพท์แล้วสามารถตรวจภายในหูได้ เหมาะกับประเทศไทยที่การไปพบแพทย์ครั้งหนึ่งใช้เวลานานและมีราคาแพง

ข้อดีของ Otoscope ของบริษัท Cellscope ก็คือการที่สามารถตรวจโรคเบื้องต้นได้ สะดวกและรวดเร็ว อีกทั้งยังประหยัดอีกด้วย

  1. ADAMM Asthma Monitor

            มาถึงเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์กันบ้าง กับเครื่องตรวจจับอาการโรคหอบหืด

เนื่องจากโรคหอบหืดยังไม่มีวิธีที่สามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องเข้ารับการรักษาอยู่เป็นประจำและเสี่ยงกับการเกิดอาการของโรคโดยไม่มียา

ในปี 2018 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 2,000 คน และยังมีผู้ป่วยจากโรคนี้อีกประมาณ 4 ล้านคนในประเทศไทย โดยในจำนวนนี้พบว่ามีผู้ที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องประมาณ 30% เท่านั้น ดังนั้นเทคโนโลยีนี้จึงเหมาะที่จะนำมาใช้ในประเทศ

โดยอุปกรณ์นี้จะตรวจจับการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิร่างกาย การหายใจ และแสดงผลออกมาทางแอปพลิเคชัน หากมีอาการผิดปกติอุปกรณ์นี้จะส่งสัญญาณเตือนไปยังโทรศัพท์หรือแจ้งเตือนไปยังเบอร์ฉุกเฉินที่ผู้ใช้บันทึกไว้ ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตหรือได้รับอันตรายจากโรคนี้ได้อย่างมาก

ข้อดีของ ADAMM Asthma Monitor คือการเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตให้มากขึ้น หากมีอาการของโรคขึ้น บุคคลใกล้ชิดก็จะสามารถดูแลได้อย่างทันท่วงที

  1. Smart City

            นอกจากการใช้เทคโนโลยี Smart Home มาปรับใช้เพื่อให้บ้านของเรามีความสะดวกสบายและเพิ่มความคุ้มค่าแล้ว ยังมีอีกเทคโนโลยีที่นำมาปรับใช้ในเมือง หรือนั่นก็คือ Smart City นั่นเอง

Smart City คือเทคโนโลยีที่นำเอาการควบคุมหรือการรักษาความปลอดภัยต่างๆ มาแสดงแบบเรียลไทม์ เช่น “แผนที่เมือง” สามารถบอกระดับการจราจรที่หนาแน่นได้ หรือสัญญาณไฟจราจรที่ใช้ Sensor ในการวัดจำนวนของรถยนต์เพื่อนำไปคำนวณเป็นสัญญานเวลา แทนที่จะใช้เป็นการตั้งเวลาแบบในปัจจุบัน

ข้อดีของ Smart City คือ เพิ่มความน่าเชื่อถือ ลดระยะเวลาการเดินทาง และเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ประชาชนผู้อยู่อาศัย

  1. Connected Car

            Connected Car เป็นเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยที่จำเป็นสำหรับโลกยุคปัจจุบัน เพื่อลดอุบัติเหตุ ลดการเสียเวลาบนท้องถนน ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรให้มีสภาวะคล่องตัวมากขึ้นอีกด้วย

หลักการของเทคโนโลยี Connected Car ก็คือการแชร์ข้อมูลกันระหว่างรถเพื่อที่จะไม่ให้เกิดการชนกัน, การแชร์ข้อมูลระหว่างรถและสัญญาณจราจร หรือตำรวจจราจรเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุได้ ทั้งยังสามารถลดปัญหาการจราจรได้อีกด้วย

ข้อดีของเทคโนโลยี Connected Car คือการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างเห็นได้ชัด ลดปัญหาการจราจรติดขัด และลดปัญหามลภาวะได้


#JARTON #SmartHome #IOT #InternetofThings #HomeAutomation

ก่อน อยู่บ้านอย่างไร ให้ประหยัดไฟ แม้ต้อง Work From Home
ต่อไป บ้าน “ปลอดภัย” ยุคใหม่ ต้องเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม